วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ร้านถ่ายเอกสาร ปลาทอง ก็อปปี้ ปริ้นท์ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

ร้านถ่ายเอกสาร ปลาทอง ก็อปปี้ ปริ้นท์ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริการ ด้วยการเพิ่มเครื่องเข้าเล่มไสกาวร้อนตัวใหม่ เพื่อรองรับปริมาณงานจำนวนมากๆ และความสวยงามของผลงาน สำหรับท่านใดที่สนใจงานเข้าเล่มติดต่อทีมงานปลาทอง ก็อปปี้ ปริ้นท์ได้ทันทีน่ะครับ

"ครบครันทุกงานเอกสาร บริการเป็นกันเอง ส่งงานตรงเวลา ราคายุติธรรม"

ตัวอย่างงานเข้าเล่มของทางร้าน ตัวอย่างงานเข้าเล่ม คลิกที่นี้




ตัวอย่างงานเข้าเล่มของเรา





วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเข้าเล่มประเภทต่าง ๆ ตอนที่ 2

1.       วันนี้ทีมงานปลาทอง ก็อปปี้ จะขอแนะนำทุกท่านเกี่ยวกับการเข้าเล่มในรูปแบบต่างๆ ซึ่งครั้งนี้จะเป็นตอนที่ 2 ซึ่งต่อจากคราวที่แล้ว (สามารถดูตอนที่ 1 ได้จากที่นี้) 

         การเข้าเล่มแบบเย็บกี่

เป็นการเข้าเล่มแบบที่ทนที่สุด แพงที่สุด ยุ่งยากที่สุด และกางออกได้มากที่สุด วิธีการเข้าเล่มแบบเย็บกี่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร วิธีการก็คือเอากระดาษทั้งหมดมาแยกออกเป็นส่วนย่อย จากนั้นเย็บแยกแต่ละส่วนเป็นเล่มเหมือนเย็บอกในข้อสามแต่เปลี่ยนจากลวดเป็นเส้นด้ายเย็บเข้าไปแทน จากนั้นเอาเล่มย่อย ๆ มาร้อยรวมกันเป็นเล่มใหญ่แล้วเย็บหุ้มด้วยปกแข็ง วิธีการเข้าเล่มแบบนี้เหมาะกับหนังสือที่มีจำนวนหน้ามาก เช่น พจนานุกรม สารานุกรม หรือนวนิยายที่มีจำนวนหน้ามากกว่า 500 หน้า เป็นต้น

2.       การเข้าเล่มแบบเย็บแม็กติดเทปกาว
การเย็บแม็กซ์ติดเทปกาวเป็นการเข้าเล่มที่แข็งแรงลงมาจากการเข้าเล่มแบบเย็บกี่ แต่วิธีการนั้นง่ายกว่ามากมายจริงๆ วิธีการคือการเย็บแม็กซ์การด้านขอบซ้ายมือของเล่ม (กรณีหันหน้าเข้าหาเล่ม) โดยที่เย็บแม็กซ์ให้ห่างจากขอบประมาณ 0.8 – 1 เซนติเมตร โดยส่วนใหญ่จะเย็บประมาณ 3 ตัว คือ บน กลาง ล่าง แต่ทั้งนี้หากหนังสือหนามากๆ อาจจะเย็บเพิ่มได้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรง แต่ถ้าหนามาก (ประมาณเกิน 2.5 เซนติเมตร) แนะนำให้เย็บทั้งด้านหน้า และด้านหลัง เพื่อจะได้แข็งแรงยิ่งขึ้น โดยที่ขนาดของลูกแม็กซ์ หรือลวดติดกระดาษที่ใช้ให้เกินครึ่งนึงของสันหนังสือก็พอ เพื่อความสวยงามของเล่ม หลังจากที่เย็บแม็กซ์เสร็จแล้วก็ทำการติดเทปกาวทับรอบเย็บแม็กซ์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเทปผ้า ซึ่งจะต้องติดให้เทปปิดด้านหน้ากับด้านหลังเท่ากัน เพื่อความเรียบร้อยและสวยงามของหนังสือ

3.       การเข้าเล่มแบบสันห่วง (กระดูกงู) และสันเกลียว

เป็นการเข้าเล่มที่นิยมใช้อย่างมากสำหรับการเข้ารูปเล่มรายงาน เพราะข้อดีของการเข้ารูปเล่มแบบนี้คือกางออกจนสุดได้ หรือ 180 องศานั้นเอง แต่นิยมใช้สำหรับงานพิมพ์ที่ทำจำนวนน้อย และไม่หนาจนเกินไป เช่น รายงาน ปฏิทิน ไดอารี่ และสมุดบันทึกทั่วไป เป็นต้น โดยที่การเข้าเล่มแบบสันห่วงและสันเกลียวนั้นจะต้องใช้เครื่องเข้าเล่มเป็นตัวช่วย เพราะต้องมีการเจาะการกระดาษเพื่อใส่สันห่วงและสันเกลียว ซึ่งการเจาะกระดาษนี้ถือได้ว่าเป็นงานหนักพอสมควร เนื่องจากเครื่องเจาะโดยส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะเจาะได้ในประมาณไม่มากนักต่อครั้ง วิธีการนี้จึงใช้เวลาและแรงงานพอสมควร

4.       การเข้าเล่มแบบสันขดลวดหรือห่วงเหล็ก
เป็นการเข้าเล่มที่มีความใกล้เคียงกับสันห่วงหรือกระดูกงู แต่เปลี่ยนตัววัสดุของห่วงจากพลาสติกเป็นเหล็กชนิดอ่อนแทน ซึ่งการเข้าเล่มแบบนี้มีความสะดวกในการเปิดอ่าน คือ สามารถกางได้ 180 องศา แต่ไม่สามารถเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงเอกสารภายในเล่มได้ กล่าวคือ เมื่อต้องการเปลี่ยน เพิ่มหรือลดเอกสารจะต้องใช้ห่วงเส้นใหม่แทน โดยส่วนใหญ่เอกสารที่จะใช้การเข้าเล่มในลักษณะนี้ คือเอกสารสำคัญที่ต้องการความสวยงามและคงทน เช่น เอกสารการประชุมบอร์ดของบริษัท สมุดไดอารี่ และสมุดบันทึก เป็นต้น ซึ่งการเข้าเล่มแบบสันห่วงเหล็กนั้นจะต้องใช้เครื่องเข้าเล่มเป็นตัวช่วยเช่นเดียวกับการเข้าเล่มแบบสันห่วงและสันเกลียว
สำหรับการเข้าเล่มในรูปแบบต่างๆ ที่เราได้แนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มากจากประสบการณ์การทำงานของเรา ทั้งนี้หากมีท่านใดสนใจวิธีการเข้าในแบบต่างๆ หรือเครื่องมือสำหรับการเข้าเล่ม สามารถติดต่อทีมงานปลาทอง ก็อปปี้ ปริ้นท์ ได้ทันทีเลยครับ หรือหากต้องการอ่านบทความเกี่ยวกับการเปิดร้านถ่ายเอกสารสามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ของเราได้เลย www.plathongcopyprint.com 



วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเข้าเล่มประเภทต่าง ๆ ตอนที่ 1


หากกล่าวถึงร้านถ่ายเอกสาร หลายท่านคงทราบกันดีว่ามีบริการถ่ายเอกสาร ปริ้นเอกสารต่างๆ แต่ท่านเคยสังเกตไหมว่ามีอีกบริการหนึ่งที่ควบคู่ไปกับบริการถ่ายเอกสาร แน่นอนครับที่ผมกล่าวถึงอยู่ คือ การเข้าเล่มประเภทต่างๆ

การเข้าเล่มนั้นถือได้ว่าเป็นบริการที่อยู่คู่กับร้านถ่ายเอกสาร แทบทุกร้านจะมีบริการเข้าเล่มประเภทต่างๆ เพื่อไว้คอยบริการลูกค้า เพื่อทำให้บริการของร้านนั้นๆ ครบวงจร กล่าวคือ one stop service สำหรับงานถ่ายเอกสาร ซึ่งการเข้าเล่มเอกสารนั้น ก็มีอยู่หลายรูปแบบและวิธีการ ขึ้นอยู่กับประเภทงาน และความต้องการของเจ้าของงาน วันนี้เราจึงจะขอกล่าวถึงการเข้าเล่มประเภทต่างๆ เชิญตามมาเลยครับ...

1.      1.  การเข้าเล่มแบบกาวหัว
การเข้าเล่มแบบนี้เหมาะใช้สำหรับพวกใบเสร็จ สมุดบิลเล่มเล็ก สมุดฉีก หรือกระดาษโน้ต ซึ่งเป็นการเข้าเล่เพื่อใช้สำหรับฉีกออกโดยเฉพาะ วิธีการทำก็ง่ายมากสามารถทำใช้ได้เองเลย เพียงแค่เอากระดาษที่ต้องการใช้มาเรียงกันเป็นตั้งให้พอดีไม่หนาจนเกินไป จากนั้นเอากาวลาเท็กซ์ทาที่ขอบด้านบนบริเวณสันกระดาษ จากนั้นก็รอให้กาวแห้งแล้วติดกระดาษห่อตรงหัวเพื่อให้สวยงามก็เป็นอันเสร็จ

2.       2.  การเข้าเล่มแบบไสกาว (ไสสันทากาว)

ป็นวิธีเข้าเล่มที่เป็นที่นิยมมาก และพบได้ทั่วไป เนื่องจากนิตยาสารส่วนใหญ่จะเข้าเล่มแบบนี้ วิธีนี้เข้าเล่มแบบไสกาวจะเก็บงานได้เรียบร้อยและมีราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับการเข้าเล่มวิธีอื่น ๆ จึงเหมาะสำหรับหนังสือเล่มที่มีความหนาระดับหนึ่งประมาณ 100 หน้าขึ้นไปแต่ไม่เกิน 200 หน้า การเข้าเล่มแบบนี้มีข้อเสียคือทำให้กางหนังสือออกได้ไม่เต็มที่ หากใช้งานไปนาน ๆ ก็จะหลุดออกมาเป็นแผ่น ๆ ได้ง่าย การเข้าเล่มแบบไสกาวจึงเหมาะกับการผลิตหนังสือที่มีจำนวนหน้าไม่มากในระดับโรงพิมพ์ขนาดเล็กถึงกลาง

3.       3.  การเข้าเล่มแบบไสกาวร้อน

เป็นการเข้าเล่มที่มีลักษณะเหมือนกับการเข้าเล่มแบบไสสันทากาว แต่จะได้งานที่ออกมาสวยงามและคงทนกว่า เพราะการเข้าเล่มแบบไสกาวร้อน จะใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยในการเข่าเล่ม นั้นคือ เครื่องเข้าเล่มไสกาวร้อน ซึ่งมีทั้งระบบอัตโนมัติไปจนถึงระบบใช้มือโยก (Manual) ซึ่งข้อดีของการใช่เครื่องเข้าเล่มไสกาวร้อนนั้น คือ การเข้าเล่มนั้นแข็งแรงและทนกว่าแบบทากาว เนื่องจากใช้ความร้อนในการละลายกาว แล้วใช้แรงกดทับของเครื่องในการพับสันปก อีกทั้งงานที่ออกมาก็มีความเรียบร้อยมากกว่า เข้าเล่มได้หนากว่า บางเครื่องได้หนาถึง 500 แผ่น หรือประมาณ 6 เซนติเมตร และทำงานได้เร็วกว่า เครื่องบ้างรุ่นสามารถเข้าเล่มได้ถึง 200 เล่มต่อชั่วโมง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว

4.      4.  การเข้าเล่มแบบเย็บอกหรือเย็บมุงหลังคา

เป็นการเข้าเล่มอีกวิธีที่ง่ายมาก ๆ และอาจจะง่ายกว่าวิธีการเข้าเล่มแบบกาวหัวเสียอีก วิธีการเข้าเล่มแบบนี้จะใช้เย็บสมุดจดบันทึกของนักเรียนนักศึกษา สมุดโน้ตย่อทั่วไป แคตตาล็อกสินค้า หรือหนังสือทำมือ วิธีการเข้าเล่มแบบนี้คือสามารถกางได้ออกเต็มที่แต่ไม่เหมาะกับหนังสือที่มีจำนวนหน้าเยอะ วิธีการเข้าเล่มก็คือเอาแผ่นกระดาษทั้งหมดมาเรียงกัน (ไม่เกิน 80 แผ่น) แล้วพับครึ่งตามแนวตั้ง จากนั้นใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บเป็นอันว่าเสร็จแล้ว เป็นไงครับง่ายกว่านี้มีอีกไหม

นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีการในการเข้าเล่มครับ เดี๋ยวว่างเว้นขากงานจะมาต่อในส่วนของวิธีการเข้าแบบอื่นๆ น่ะครับ
ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ร้านถ่ายเอกสารยังไปต่อได้ไหมในเวลานี้?

ร้านถ่ายเอกสารยังไปต่อได้ไหมในเวลานี้?

เชื่อแน่นอนว่าหลายๆ ท่านที่เคยผ่านการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐหรือเอกชน จะต้องมีโอกาสได้ใช้บริการร้านถ่ายเอกสารไม่มากก็น้อย และก็เชื่ออีกว่ามีหลายท่านไม่น้อยที่มีโอกาสได้ใช้ร้านถ่ายเอกสารเหล่านั้นต่างคิดในใจหรือคุยกับเพื่อนในกลุ่มว่าเรียนจบไปไม่ต้องไปหางานทำหรอก มาเปิดร้านถ่ายเอกสารดีกว่า นี้เป็นคำพูดที่ได้ยินเพื่อนๆ ผมพูดเสมอเวลาที่เข้าไปใช้บริการถ่ายเอกสาร เพราะไม่ว่าจะมองดูร้านถ่ายเอกสารกี่ร้านๆ ในมหาลัยต่างมีเพื่อนๆ นักศึกษาใช้บริการเต็มเกือบตลอดเวลา ยิ่งช่วงเวลาใกล้สอบร้านถ่ายเอกสารเป็นอะไรที่มีความสำคัญมาก เพราะไม่ว่าเพื่อนๆ หรือใครคนใดคนนึงมีชีทหรือเอกสารที่เรายังไม่มีในวิชาต่างๆ เราเองก็ต้องหยิบยืมไปก็อปปี้อย่างแน่นอน จนมีอีกคำพูดตามมาว่าเรียนจบไปต้องมาถ่ายรูปกับเครื่องถ่ายเอกสารที่มีส่วนช่วยให้เราเรียนจบ

ตอนเราเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้านที่เราเข้าออกบ่อยไม่แตกต่างจากร้านเครื่องเขียนเลยก็คือร้านถ่ายเอกสาร ถ่ายกันตั้งแต่สมุดโน้ต การบ้าน รายงาน รวมไปถึงตำราเรียนต่าง ๆ บ้างก็มาใช้บริการให้ทางร้านถ่ายเอกสารจัดรูปเล่มรายงานให้ก็มี แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ก้าวไกลไปมาก ทำให้ความสำคัญของร้านถ่ายเอกสารลดลง เพราะผู้คนสามารถอ่านเอกสารทางอินเตอร์เนต (Internet) หรือกระทั้งสมาร์ทโฟน (Smart Phone) หรือกระทั่งการส่งงานผ่านอิเล็คทรอนิคเมล์ (Email) ทำให้ตอนนี้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่สนใจในธุรกิจร้านถ่ายเอกสารจึงเกิดอาการลังเลว่ามันจะเติบโตต่อได้หรือไม่ หรือมันหมดยุคของร้านถ่ายเอกสารแล้วในเวลานี้? จริง ๆ แล้วธุรกิจร้านถ่ายเอกสารจะเติบโตต่อไปได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ประกอบการแต่ละคน รวมถึงการจัดการและบริหารงานต่าง ๆ  และที่สำคัญที่สุด คือ การลดต้นทุนอย่างไรที่ยังสามารถรักษาการให้บริการได้มาตรฐานเพื่อเรียกลูกค้าให้กับมาใช้บริการถ่ายเอกสารที่ร้านของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การจะตั้งร้านถ่ายเอกสารได้สักร้านไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่หลายคนคิด เพราะรายละเอียดต่างๆ ค่อนข้างมากพอสมควร เพราะบริการภายในร้านถ่ายเอกสารมีหลากหลาย ไม่ใช่แค่ถ่ายเอกสารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะทำร้านถ่ายเอกสารสามารถอยู่ได้ อย่างน้อยก็ต้องลงทุนบวกลงแรงไม่ต่ำกว่าสองแสนบาทขึ้นไป เพราะร้อยละ 80 ของต้นทุนทั้งหมดก็อยู่ที่เครื่องถ่ายเอกสารเป็นสำคัญ ซึ่งเครื่องถ่ายเอกสารแบบธรรมดาก็ตกราคาสนธิอยู่ประมาณ 60,000  กว่าบาทไปจนถึงแสนกว่า และแน่นอนว่าเครื่องถ่ายเอกสารธรรมดามันไม่สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมสักเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ต้องเป็นมัลติฟังชั่นที่สามารถปริ๊นเอกสารและถ่ายเอกสารได้พร้อมกันในเครื่องเดียว ซึ่งก็มีราคาเครื่องละแสนอัพ นี่ยังไม่รวมค่าบำรุงรักษาต่าง ๆ นานา ถ้าผู้ประกอบการพอมีความรู้สามารถแก้ไขจุดบกพร่องได้เองก็จะประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้มาก ยิ่งร้านถ่ายเอกสารร้านไหนใช้พื้นที่เป็นของตนเอง (ไม่ใช่เช่าสถานที่) มีการดูแลจัดการภายในครอบครัวตัวเองก็ค่อนข้างที่จะได้กำไรมากกว่าร้านถ่ายเอกสารร้านอื่นพอควร

ในส่วนของทำเลที่ตั้ง ถ้าเป็นสมัยก่อนทำเลทำกำไรของร้านถ่ายเอกสารมักจะตั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษาและหน่วยงานราชการเป็นสำคัญ แต่ในปัจจุบันนี้กลุ่มเป้าหมายกลับเปลี่ยนไปเพราะตามสถานศึกษาหรือหน่วยงานราชการต่าง ๆ จะมีร้านถ่ายเอกสารของทางหน่วยงานโดยตรงคอยอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาติดต่อ ดังนั้นทำเลทองของร้านถ่ายเอกสารในเวลานี้คือสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ชุมชม และตลาด เป็นต้น

ส่วนเรื่องที่ว่าธุรกิจร้านถ่ายเอกสารยังสามารถเดินต่อไปได้หรือไม่ หรือน่าลงหรือเปล่า ทางผู้เขียนเองคงไม่สามารถฟันธงได้ว่า เติบโต น่าสนใจ หรือถึงทางตันและไม่น่าลงทุนแล้ว แต่ที่บอกได้ คือ ในปัจจุบันนี้ยังมีความต้องการทางด้านการบริการถ่ายเอกสารอยู่มากพอสมควร แต่การแข่งขันก็ค่อนข้างสูง ดังนั้นหาท่านใดมีความสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจนี้คงต้องคิดให้มากๆ และวางแผนดีๆ เนื่องจากจำนวนเงินที่ต้องนำมาลงทุน และเงินหมุนวียนนั้นคงไม่ต่ำกว่า 2 แสนแน่ๆ สำหรับร้านเล็กๆ และถ้าใหญ่ขึ้นอีกก็คงต้องมีครึ่งล้านเป็นอย่างต่ำ แต่ทุกธุรกิจมีความเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านทุนหรือทำเล และมองเห็นโอกาสทางการตลาดธุรกิจนี้ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจเหมือน ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ


สุดท้ายนี้ บทความนี้เป็นเพียงคิดความส่วนตัวของผู้เขียนที่มีธุรกิจร้านถ่ายเอกสารที่ผู้เขียนต้องการถ่ายออกมาผ่านบทความ ไม่ได้มีความต้องการชี้แนะ เชิญชวน หรือเสนอขายบริการใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากท่านใดมีความต้องการเปิดร้านถ่ายเอกสารแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เรายินดีให้คำปรึกษาครับ หรือเข้าไปอ่านบทความเกี่ยวกับการเปิดร้านถ่ายเอกสารได้ที่เว็บไซต์ของเราที่ www.plathongcopyprint.com

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รู้เท่าทันเครื่องถ่ายเอกสาร ป้องกันตัวเองได้เยอะ ตอนที่ 1

สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องถ่ายเอกสารและอันตรายจาการใช้เครื่องถ่ายเอกสารนั้น ขออนุญาตแบ่งเป็น 2 ตอนครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างยาว มาเริ่มกันที่ตอนที่ 1 เลยครับ

อันตรายจากเครื่องถ่ายเอกสาร

ทราบหรือไม่ว่าเครื่องถ่ายเอกสารมีอันตรายเหมือนกัน ถึงแม้ว่าการทำงานในสำนักงานจะไม่มีอันตรายร้ายแรงแฝงตัวอยู่เหมือนการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่างานออฟฟิศจะมีความปลอดภัยไปทั้งหมด อย่างน้อยก็มีคำถามเกิดขึ้นอยู่เสมอว่า อุปกรณ์สำนักงานบางชนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องถ่ายเอกสารที่มีแสงจ้าและกลิ่นสารเคมีระเหยออกมาตลอดเวลานั้นจะมีผลต่อสุขภาพหรือไม่ ?

วันนี้ทางเราจึงได้นำสาระน่ารู้เกี่ยวกับอันตรายจากเครื่องถ่ายเอกสารมานำเสนอเพื่อที่จะได้ทราบถึงอันตรายจากเครื่องถ่ายเอกสารที่มีอยู่จริง
แต่ผลกระทบต่อสุขภาพผู้ใช้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่ามีการปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยหรือไม่
โดยทั่วไปแล้วเมื่อมีการใช้เครื่องถ่ายเอกสารแต่ละครั้งจะมี "สภาพที่ไม่ปลอดภัย" ปรากฏออกมานั่นคือ

1. ก๊าซโอโซน เป็นการทำให้เกิดการระคายเคือง และการสัมผัสก๊าซนี้นาน ๆ จะเป็นอันตรายต่อระบบหายใจและระบบประสาทได้
2. ฝนผงหมึก เป็นส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตราย รวมถึงสารที่อาจก่อมะเร็ง และสารที่เป็นสาเหตุของภูมิแพ้
3. แสงเหนือม่วง (UV Light) มักเป็นอันตรายต่อตา การสัมผัสแสงจ้าจากการถ่ายเอกสารเป็นเวลานานจะเป็นสาเหตุของการอาการปวดตาและปวดศีรษะ

โอโซนจากเครื่องถ่ายเอกสาร

โอโซนจากเครื่องถ่ายเอกสารเกิดขึ้นจากการอัดและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้งกระดาษ และบางส่วนที่เกิดจากการปล่อยแสงเหนือม่วงจากหลอดไฟพลังงานสูงของ
เครื่องถ่ายเอกสาร(แสงเหนือม่วงจะทำใหก๊าซออกซิเจนรวมกันเป็นโอโซนได้ง่ายขึ้น) แต่ในสภาพปกติหรือในสำนักงานทั่วไป
โอโซนจะสลายตัวเป็นออกซิเจนภายใน 2-3 นาทีซึ่งอัตราการสลายตัวจะขึ้นอยู่กับระยะเวลา อุณหภูมิ (อุณหภูมิสูงสลายตัวได้เร็วขึ้น)
การระบายอากาศและพื้นวัตถุที่โอโซนจะสลายตัวได้ถึง 100 หากสัมผัสถ่านที่มีประจุ (Activated Carbon)
ในเครื่องถ่ายเอกสารรุ่นใหม่ๆ มักจะมีแผ่นกรองประเภท Activated Carbon Filter เพื่อสลายโอโซนก่อนปล่อยออกจึงมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้มากขึ้น

ผงหมึก 

ผงหมึกที่ใช้ในเครื่องถ่ายเอกสารทั่วไปในปัจจุบัน (ระบบแห้ง) เป็นผงหมึกประเภทผงคาร์บอนดำ 10% ผสมกับพลาสติกเรซิน ซึ่งมีอันตรายต่อสุขภาพ
จึงควรระมัดระวังขณะเติมผงหมึก รวมทั้งความสะอาดและกำจัดผงหมึกที่ใช้แล้วโดยควรทิ้งในภาชนะบรรจุมิดชิด ไม่ควรทิ้งลงในตะกร้าหรือถังขยะในสำนักงาน
การหายใจเอาผงหมึกเข้าไปจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ มีการไอและจาม นอกจากนี้สารไนไตรไพรีนซึ่งพบในผงคาร์บอนดำ และสารไนไตโตรฟลูออรีน (TNF)
ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสารที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมมีผลต่อทารกในครรภ์ ผู้ที่มีหน้าที่ถ่ายเอกสารเป็นประจำหรือ
ผู้ที่มีหน้าที่เปลี่ยนถ่ายผงหมึกควรได้รับการฝึกอบรมในเรื่องความปลอดภัยในการใช้เครื่องถ่ายเอกสาร ควรใช้ถุงมือในการสัมผัสกับผงหมึก หลีกเลี่ยงการสูดเอาผงหมึกเข้าไป
ในกรณีที่เครื่องถ่ายเอกสารมีปัญหาเช่น พบผงหมึกเปื้อนติดกระดาษเป็นจำนวนมากควรหยุดเครื่องและติดต่อบริษัทเพื่อรับการซ่อมบำรุงทันที
สารเคมีอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในเครื่องถ่ายเอกสาร ได้แก่ เซเลเนียม แคดเมี่ยมซัลไฟด์ ซิงไดออกไซด์และโพลิเมอร์บางตัว แต่มีจำนวนน้อยมากในเครื่องถ่ายเอกสารสภาพปกติ

แสงเหนือม่วง 

แสงเหนือม่วง (UV Light) แผ่รังสีออกมา จากหลอดไฟพลังงานสูงภายในเครื่องขณะที่มีการถ่ายเอกสารซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตาและมีผื่นคันตามผิวหนัง
แต่ปกติแสงเหนือม่วงจะไม่ทะลุผ่านกระจกที่วางเอกสารต้นฉบับ เพราะมีพลังงานต่ำและถูกดูดกลืนและถูกดูดกลืนไป อันตรายจากแสงเหนือม่วงจะเกิดขึ้นได้หากมอง-
แสงที่ทะลุออกมาจากกระจก ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ แสบตาดังนั้นในการถ่ายเอกสารทุกครั้งควรปิดฝาครอบให้มิดชิด

นอกจากที่กล่าวไปแล้ว สิ่งที่อาจเป็นอันตรายของเครื่องถ่ายเอกสาร ได้จากความร้อนจากการถ่ายเอกสารเป็นเวลานาน ในสถานที่ไม่มีการถ่ายเทอากาศ และเรื่องเสียงดัง
ในเครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่อาจดังถึง 80 เดซิเบล 3 


นี้ก็เป็นสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากเครื่องถ่ายเอกสาร หวังว่าคงมีประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่มีโอกาสใช้งานเครื่องถ่ายเอกสาร และรวมถึงศูนย์ให้บริการถ่ายเอกสารทั่วๆ ไปน่ะครับ คราวหน้าเราจะมาพูดถึงแนวทางในการใช้เครื่องถ่ายเอกสารอย่างปลอดภัยครับ วันนี้ขอบคุณมากครับ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอกสารวิชาการกองอาชีวอนามัย กรมอนามัย

อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับร้านถ่ายเอกสารคลิกเลย

วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนะนำการเปิดร้านถ่ายเอกสาร ตอนที่ 3 การกำหนดราคาค่าบริการ

ก่อนอื่นๆ ต้องขอโทษด้วยน่ะครับที่หายไปนานเลย เนื่องจากติดภาระกิจเรื่องธุรกิจที่เพิงเปิดทำการครับ  สำหรับคราวนี้ก็จะเป็นตอนที่ 3 ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้ายของการแนะนำการเปิดร้านถ่ายเอกสารครับ ซึ่งจะเป็นเรื่องของการกำหนดราคาที่จะแนะนำต่อไปนี้ เป็นราคาโดยทั่วไปน่ะครับ แต่ทั้งนี้ราคาต่างๆ ของแต่ละร้านก็จะแตกต่างกันไปตามทำเลและสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันครับ

ค่าถ่ายเอกสาร เอ-4 หน้าละ 50 ส.ต. ตั้งแต่ 20 แผ่นขึ้นไป แต่ถ้าเป็นทำเลที่มีการแข่งขันสูง ปริมาณงานเยอะมากๆ ก็อาจจะเป็นหน้าละ 35 ส.ต. ก็เป็นได้ครับ

เอฟ-14 หน้าละ 1 บาท

บี-4 หน้าละ 2 บาท หน้าหลังก็ 3 บาท

เอ-3 หน้าละ 2 บาท  หน้าหลังก็ 3 บาท

บัตรประชาชน  ทะเบียนบ้าน  หน้าหลัง 1 บาท

ค่าเครื่องบัตร เริ่มจาก 10 บาท

ถ้า เอ-4 พื้นฐาน 20 บาท ราคาอ าจไม่กำหนดแน่นอน ถ้าลูกค้ามาเป็น 100 แผ่นขึ้นไปก็ลดลงมาอีก

ค่าเข้าเล่มสันห่วง เริ่มจาก 10 บาท-60 บาท แล้วแต่ลูกค้าอาจมีเพิ่มปกสี ปกใสก็คิดเพิ่มเข้าไป

ค่าส่งแฟ๊กซ์ เริ่มจาก 10 บาทต่อแผ่น ต่างจังหวัดแล้วแต่ใกล้ไกล เริ่มจากแผ่นละ 20 บาทถึง 40 บาท

ค่าปริ้นท์งาน หน้าละ 2 บาท ถ้าจำนวนมากก็ลดลงตามจำนวน

ปรินซ์สี เริ่มจาก 5 บาท-60 บาทแล้วแต่ใช้สีมากสีน้อย ราคาปรินซ์ไม่แน่นอน

ค่าพิมพ์งานเริ่มจาก 10 บาท ถึงค่าออกแบบต่างๆ เป็นหลักพัน สำหรับคนทำกราฟฟิกเป็น
บางคนเจ้าของร้านใช้คอมไม่เป็นไม่ต้องกังวลหัดกดแป้นคีย์บอร์ดหัดพิมพ์ทุกวันก็เป็นเอง

ค่าพิมพ์นามบัตร สีดำไม่สมควรต่ำกว่า 150 บาทต่อกล่อง สี 250 บาท ถ้าลูกค้าสั่งเยอะๆ ค่อยลดราคา ถ้าเปิดในห้าง ราคาอัพมากกว่านี้

อย่างที่บอกครับราคาดังกล่าวเป็นราคาอัตราค่าบริการของร้านถ่ายเอกสารข้างต้นที่กำหนดขึ้นมา แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละร้าน ทำเล และสภาพการแขงในพื้นที่ของร้านท่าน
เพราะอย่างร้านผมเองเวลาถ่ายเอกสารขาวดำในปริมาณมากๆ ก็มีต่ำถึง 30 ส.ต. ต่อหน้าครับ

ยังไงก็ขอท่านกำหนดราคาจากต้นทุนของท่านเองเป็นหลักน่ะครับ แต่อย่าลืมใส่ใจเรื่องบริการและคุณภาพให้สอดคล้องกับราคาด้วยน่ะครับ เพราะนั้นจะตัวที่ตัดสินการตัดสินใจของลูกค้า

ขอให้โชคดีครับ

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

แนะนำเปิดร้านถ่ายเอกสาร ตอนที่ 2

แนะนำการเปิดร้านถ่ายเอกสาร ตอนที่ 2

กลับมาผมกันอีกครั้งนะครับสำหรับบทความเกี่ยวกับการแนะนำการเปิดร้านถ่ายเอกสาร ซึ่งวันนี้จะเป็นการพูดถึงบริการต่างๆ ที่ร้านถ่ายเอกสารควรมีไว้คอยบริการลูกค้าของร้านถ่ายเอกสารที่นอกเหนือจากการถ่ายเอกสาร

1.บริการเคลือบบัตร เคลือบ พรบ. ใบขับขี่ เคลือบรูป
2.เข้าเล่มเอกสาร สันห่วงกระดูกงู สันเกลียว สันขดลวด สันกาว สันเทป สันรูด
3.งานพิมพ์เอกสารด่วน พิมพ์รายงาน วิทยานิพนธ์
4.งานออกแบบสิ่งพิมพ์ นามบัตร แผ่นพับ โบชัวร์ จำนวนน้อย
5.งานปรินซ์เอกสารสี ขาวดำ
6.งานค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เนต
7.ทำตรายาง สำหรับคนที่ทำเอง
8 พิมพ์งานการ์ดพิธี งานแต่ง งานบวช
9.สติ๊กเกอร์ติดของชำร่วย
10.พิมพ์ซองกฐิน ผ้าป่า
11.ตัดสติกเกอร์
12.รับทำเวบไซด์
13.รับ-ส่งแฟกซ์,E-mail
14. ทำ พรบ. ขายประกันภัยต่าง ๆ
15.นายหน้าขายสินค้า หรืออื่น ๆ
16.ขายเครื่องเขียน วัสดุต่าง ๆ

จะเห็นว่าร้านถ่ายเอกสารจะเป็นการบริการที่หลากหลาย แล้วแต่คนจะนำไปใช้ ร้านถ่ายเอกสารจะเป็นศูนย์รวมของคนทุกอาชีพที่มาใช้บริการ
การทำงานแล้วแต่ละคนจะนำมาเป็นจุดขาย บางคนถนัดงานกราฟฟิค ตกแต่งรูปก็นำมาใช้ หรือชอบถ่ายรุป ก็รับจ้างถ่ายรูป ออกแบบ โฟโต้บุ๊ค



บทความอื่นๆ เพิ่มเติม http://www.plathongcopyprint.com/